วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

แผนที่



แผนที่ร้าน

ถนนบรมไตรโลกนาถร 11 ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก


วิธีการจัดส่ง


วิธีการจัดส่ง


ขนาด/ราคา


ขนาด/ราคา

500 กรัม  = 25 บาท
800 กรัม   = 30 บาท
1000 กรัม = 35 บาท

รสชาติ


รสชาติ


บาร์บีคิว


ปาปริก้า

สาหร่าย




แนะนำร้าน


ร้านมันกัลยา


มันอาลู,มันอะลู,มันอลู เป็นภาษาพื้นถิ่นของบ้านเราชาวเชียงใหม่และภาคเหนือ ใช้เรียก "มันฝรั่ง" มันฝรั่งที่ว่านี้เป็นพืชหัว (ไม่ใช้ฝรั่งที่เป็นคนเดินได้) วันนี้เรามารู้เรื่องมันฝรั่งหรือมันอาลู กันดีกว่านะ " มันฝรั่งเป็นพืชหัวซึ่งมนุษย์ใช้บริโภค และมีความสำคัญทางเศรษฐกิจของโลกมานานแล้ว ในปีหนึ่งๆ ทั้งโลกผลิตมันฝรั่งได้ประมาณ ๓๐๐ ล้านตันต่อเนื้อที่ปลูกทั้งหมดประมาณ ๗-๘ หมื่นไร่แหล่งผลิตมันขนาดใหญ่ ได้แก่ รุสเซีย โปแลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา ลาตินอเมริกา และบรรดาประเทศในตะวันออกไกล ประเทศที่สามารถผลิตมันฝรั่งได้ผลผลิตต่อไร่สูงสุด ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ คือ ๕ ตัน และที่รองลงมาก็คือเบลเยี่ยมและเยอรมันตะวันตก คือ ได้ผลผลิต ๔.๕ตันเท่ากันสำหรับประเทศไทยนั้น เนื้อที่ปลูกมันฝรั่งจะขึ้นลงตามราคามันฝรั่งในท้องตลาด ถ้าหากราคามันฝรั่งดี กสิกรก็ปลูกมันมาก ดังเช่นในปี พ.ศ. ๒๕๑๒ เนื้อที่ปลูกทั้งหมดทั่วประเทศ ๗,๒๔๐ ไร่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ลดลงเหลือ ๕,๒๗๒ ไร่ และลดลงอีกในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เหลือ ๒,๐๑๙ ไร่ ส่วน ในปี ๒๕๑๕ เนื้อที่ปลูกเพิ่มขึ้นเป็น ๖,๒๙๕ ไรเป็นต้น
มันฝรั่งเป็นพืชฤดูหนาว และปลูกได้ผลดีทางภาคเหนือ มันฝรั่งเป็นพืชที่ปลูกง่าย อายุสั้นปริมาณผลผลิตที่ได้ค่อนข้างสูง คือ ให้น้ำหนักหัวประมาณ ๑ ตันต่อไร่"

ร้านมันกัลยา



มันกัลยา

มันฝรั่ง

มันฝรั่ง ชื่อสามัญ Potato, Irish potato, White potato
มันฝรั่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum tuberosum L. จัดอยู่ในวงศ์มะเขือ (SOLANACEAE)
มันฝรั่ง มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มันเทศ มันอาลู มันอีลู (ภาคเหนือ) เป็นต้น

ลักษณะของมันฝรั่ง

  • ต้นมันฝรั่ง เป็นพืชดั้งเดิมของชาวโลกซีกตะวันตก เชื่อว่ามีแหล่งกำเนิดบนพื้นที่ระหว่างเม็กซิโกและชิลี บนแถบที่ราบสูงบนเทือกเขาแอนดีส ในประเทศโบลิเวีย หรือเปรู โดยจัดเป็นพืชล้มลุกที่มีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 4-5 เดือน ลำต้นมีลักษณะเป็นกิ่ง ตั้งตรงและมีความสูงของต้นประมาณ 0.6-1 เมตร ลำต้นเป็นครีบ เมื่ออ่อนมีขน หัวเกิดจากลำต้นที่อยู่ใต้ดิน ใน 1 ต้นจะให้หัวมันฝรั่งประมาณ 8-10 หัว สำหรับแหล่งปลูกมันฝรั่งในประเทศไทยที่ได้ผลดี คือ จังหวัดทางภาคเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็น เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ส่วนทางภาคกลาง ภาคอีสาน และภาคใต้ ก็มีปลูกกันบ้างแต่มีผลผลิตน้อยเมื่อเทียบกับจังหวัดทางภาคเหนือ โดยจังหวัดเชียงใหม่เป็นที่มีการปลูกและผลิตมันฝรั่งมากที่สุด
ต้นมันฝรั่ง
  • หัวมันฝรั่ง หัวเกิดไหลอันเป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไป เกิดเป็นกิ่งหรือเกิดจากส่วนล่างของลำต้น งอกชอนไชลงไปในดิน ตอนกลายขยายใหญ่ เพื่อสร้างหัว หัวมีตาอยู่โดยรอบในลักษณะวงกลม ตาแต่ละตาจะสามารถแตกออกได้ 3 กิ่ง ที่ตามีเกล็ดที่มีรูปร่างคล้ายจาน มีไว้สำหรับป้องกันตาไม่ให้ได้รับอันตราย ภายในหัวมันฝรั่งมีแกนตรงกลางพุ่งไปยังตาทุกตา[2]
หัวมันฝรั่ง
  • ใบมันฝรั่ง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ ออกเรียงสลับ มีขนเล็กน้อย ประกอบไปด้วยใบยอด 1 ใบ และใบย่อยที่มีลักษณะเป็นรูปรี หรือรูปไข่แกมแวงรีหรือแกมไข่กลับปลายแหลมประมาณ 2-4 คู่ และใบย่อยสั้นอีก 2 คู่ หรือมากกว่านี้ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1.5-5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5-7 เซนติเมตร[1],[2]
ใบมันฝรั่ง
  • ดอกมันฝรั่ง ออกดอกเป็นช่อ ช่อดอกเกิดเป็นกลุ่มบริเวณยอดของต้นหรือซอกใบ ก้านดอกยาว ประกอบไปด้วยดอกฝอยประมาณ 7-20 ดอก ก้านดอกย่อยมีขน ดอกหนึ่งมีกลีบดอก 5 กลีบ กลีบดอกเป็นสีขาว สีกุหลาบ สีชมพูม่วง หรือสีม่วง โคนดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน และเกสรเพศเมีย 1 อัน ซึ่งมีก้านชูเกสรยาว[1],[2]
ดอกมันฝรั่ง
  • ผลมันฝรั่ง ผลเป็นผลสดมีหลายเมล็ด ผลมีลักษณะเล็กและกลม ผลเป็นสีเขียวหรือสีน้ำตาล มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 1 นิ้ว ผลติดกันเป็นพวง ๆ[1],[2]
ผลมันฝรั่ง
ลูกมันฝรั่ง

สรรพคุณของมันฝรั่ง

  1. หัวมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูงและช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว (หัว)[1],[4]
  2. ช่วยลดไขมัน ด้วยการใช้หัวมันฝรั่งมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน (หัว)[1]
  3. ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะร่างกายจะดูดซึมธาตุเหล็กกับวิตามินซีที่มีอยู่ในหัวมันฝรั่ง ซึ่งจะช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกาย (หัว)[4]
  4. ใบมีสรรพคุณช่วยทำให้หลับ (ใบ)[1]
  5. หัวมีสรรพคุณเป็นยาระงับประสาท (หัว)[1]
  6. มันฝรั่งก็ช่วยบำรุงสมองได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 6 ที่เป็นตัวช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทำให้ผลิตสารสื่อประสาทได้อย่างเป็นปกติ เช่น เซโรโทนิน (ช่วยกระตุ้นอารมณ์), กาบา (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย), และอดรีนาลิน (ช่วยลดความเครียด) โดยปริมาณที่แนะนำให้รับประทานต่อวันคือ ครึ่งถึงหนึ่งถ้วยตวง (ทั้งแบบบดและแบบต้ม) และไม่ควรรับประทานมากกว่านี้ เพราะมีวิตามินซีอยู่ จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร จนทำให้รู้สึกท้องอืดเฟ้อได้
  7. ชาวเปรูจะนำมันฝรั่งมาทาบริเวณศีรษะเพื่อช่วยรักษาอาการปวดศีรษะ (หัว)[3]
  8. มันฝรั่งมีวิตามินซีมาก จึงช่วยป้องกันไข้หวัดได้ (หัว)[4]
  9. นอกจากจะช่วยป้องกันหวัดแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดีอีกด้วย (หัว)[5]
  10. ตำรับยาแก้คางทูม ให้ใช้มันฝรั่ง 1 ลูก นำมาฝนกับน้ำส้มสายชู แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็น เมื่อแห้งแล้วให้ทาซ้ำจนหาย (หัว)[3]
  11. หัวใต้ดินมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยในการย่อย (หัว)[1]
  12. ในหัวมันฝรั่งจะมีสารจำพวกเพกทิน (เป็นสารที่พบในผนังเซลล์และเนื้อเยื่อของพืชบางชนิด) ประกอบด้วยกรดกาแล็กทูรอนิก ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกาแล็กโทสเป็นหลัก (ในผลไม้จะมีเพกทินเป็นตัวเชื่อมผนังเซลล์ทำให้แข็งและคงรูป เมื่อผลไม้สุกงอม เพกทินจะสลายตัวเป็นน้ำตาลที่ละลายได้ดี ทำให้ผลไม้นิ่มและเสียรูป) ซึ่งมีประโยชน์ช่วยทำให้การบีบตัวและการคลายตัวของลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น (หัว)[4]
  13. ชาวอิตาลีในสมัยก่อนจะปลูกต้นมันฝรั่งและนำไปต้มหรือเผากิน ครั้นเวลาจะกินก็จะเติมเกลือลงไปด้วยเล็กน้อย ด้วยเชื่อว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นความต้องการทางเพศได้ ทำให้คนที่กินมากจะมีลูกมาก (เรื่องนี้ก็ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นใดนะครับ) (หัว)[5]
  14. ช่วยถอนพิษที่เป็นอันตรายในตับ (หัว)[4]
  15. ใช้รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ด้วยการใช้น้ำคั้นจากหัวมันฝรั่งนำมาทาบริเวณแผลบ่อย ๆ หรือนำมาตำให้ละเอียดแล้วใช้พอก และให้เปลี่ยนยาหลาย ๆ ครั้ง (หัว)[1],[3]
  16. ใบมีสรรพคุณแก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ในโรคไอ (ใบ)[1]
  17. ช่วยขับน้ำนมของสตรี (หัว)[1]
  18. ชาวเปรูเป็นชาติแรกที่นำมันฝรั่งมาทำเป็นยาพอกกระดูก เมื่อกระดูกหัก (หัว)[3]
  19. นอกจากนี้มันฝรั่งยังอุดมไปด้วยแคลเซียมมีส่งผลดีต่อหัวใจ ช่วยปรับฮอร์โมนและทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยในการดูดซึมอาหารได้ดี ป้องกันการบูดเน่าของอาหารภายในลำไส้ ลดอาการบวมและไตอักเสบ (หัว)[4]
ผู้สนับสนุน 

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมันฝรั่ง

  • สารสำคัญที่พบ ได้แก่ Barogenin, Chaconine, Erytoxanthin, Glucinol optatolectin, Glucoside, Patatin, Stearic acid, Tuberoside, Zeaxanthin[1]
  • มันฝรั่งมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ต้านการเป็นพิษต่อตับ ลดคอเลสเตอรอล ลดน้้ำในเลือด[1]
  • Yamakawa และคณะ (1999) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลอง Sweetpotato พบว่ามีสาร angiotensin converting enzyme ที่ช่วยลดความดันโลหิตสูงและลดไขมันได้[1]
  • Noguchi และคณะ (2007) ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำการทดลองสารสกัดจาก Potato snacks จำนวน 1.7 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ในหนูถีบจักรทดลอง ผลการทดลองพบว่าสามารถลดความดัน SBP ได้ 35 มิลลิเมตรปรอท และลดไขมันได้[1]
  • จากการทดสอบความเป็นพิษ โดยให้แกะกินส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นมันฝรั่งในขนาด 2.8 กิโลกรัม และ 3.85 กิโลกรัม เป็นระยะเวลา 9 วัน ไม่พบพิษ[1]
  • ในมันฝรั่งจะมีสาร Solanine โดยในมันฝรั่ง 1 กิโลกรัม จะมี Solanine ประมาณ 20-100 มิลลิกรัม โดย Solanine จะมีมากในรากและเปลือกมันฝรั่ง ในมันฝรั่งเปลือกแดงจะมี Solanine มากกว่ามันฝรั่งเปลือกเหลือง และมันฝรั่งดิบจะมี SOlanine มากกว่ามันฝรั่งสุก นอกจากนี้มันฝรั่งเมื่อโดนแสงแดดเปลือกจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว และทำให้ปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย[3]
  • เฉพาะในเนื้อของมันฝรั่งที่มีรากงอกออกมาหรือเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะมีปริมาณของ Solanine น้อย เมื่อกินแล้วจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าหากมีปริมาณของ Solanine เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติเป็น 4-5 เท่า หรือมากกว่า 0.4 กรัมต่อกิโลกรัม เมื่อกินแล้วจะเกิดอาการเป็นพิษได้ แต่ก็ไม่ถึงกับตาย และเคยมีรายงานว่า เด็กที่กินมันฝรั่งที่เปลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวจะทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบถึงตาย[3]
รูปมันฝรั่ง

ประโยชน์ของมันฝรั่ง

  1. หัวมันฝรั่งเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง คือ มีปริมาณของแป้ง โปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิดอยู่ในเกณฑ์สูง จึงใช้เป็นอาหารประจำวันได้เป็นอย่างดี ซึ่งประชาการในยุโรปและอเมริกาจะรับประทานมันฝรั่งเป็นอาหารหลักแทนข้าว ด้วยวิธีการนำมาต้ม ทอด อบ ฯลฯ[2] นอกจากนี้ยังพบว่าโปรตีนที่ได้จากมันฝรั่งมีคุณภาพสูงกว่าโปรตีนที่ได้จากถั่วลิสงอีกด้วย และด้วยการที่มันฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ทำให้นักโภชนาการเชื่อว่าหากคนที่ติดอยู่บนเกาะร้างปลูกมันฝรั่งไว้กินเป็นอาหารพวกเขาจะไม่มีวันอดตาย และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดกัปตันเรือในสมัยก่อนจึงนิยมบรรทุกมันฝรั่งไว้เป็นเสบียงสำหรับการเดินทาง[5]
  2. นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์โดยตรงแล้วยังนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย ด้วยการใช้หัวสดต้มหรือหมักเป็นอาหารของวัว ควาย และสุกร[2]
  3. มันฝรั่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง เช่น การนำมาทำแป้ง นำมาหั่น ๆ บางแล้วทอดกรอบ ทำเป็นขนมขบเคี้ยว ทำน้ำตาลกลูโคสและเดกทริน (ใช้สำหรับทำกาวและสารให้ความเหนียวต่าง ๆ) หรือใช้อุตสาหกรรมการหมักเพื่อผลิตแอลกอฮอล์และกรดซิตริก ล้อยาง พลาสติก ฟิล์ม สีน้ำมัน และใช้ในอุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมทอฝ้า เป็นต้น[2],[3]
  4. มันฝรั่ง ลดความอ้วนได้นะ ! หลาย ๆ คนอาจเคยเข้าใจผิดว่าหากรับประทานมันฝรั่งมากก็จะยิ่งทำให้อ้วน แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้อย่างที่คุณคิดทั้งหมด ซึ่งความจริงก็คือ เจ้ามันฝรั่งนี้แหละที่เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักและความอ้วนได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ทำให้ไม่รู้สึกหิวง่าย และช่วยลดการกินจุกจิก อีกทั้งมันฝรั่งยังเป็นอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำและอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด แต่อย่างไรก็ตามถ้านำมันฝรั่งมาปรุงแบบผิดวิธี มันก็ทำให้อ้วนได้เหมือนกัน เพราะมันฝรั่งสามารถดูดซับเครื่องปรุงต่าง ๆ โดยเฉพาะน้ำมันได้มากถึง 30-40% คุณอาจจะเคยชินกับการกินฝรั่งในรูปของมันฝรั่งทอด เฟรนช์ฟรายด์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ใส่เครื่องปรุงแต่งมากมาย ซึ่งอยากให้รู้ไว้ว่าสิ่งที่ทำให้คุณอ้วนนี้ไม่ได้เป็นเพราะมันฝรั่ง แต่เป็นเพราะเครื่องปรุงแต่งเหล่านี้ต่างหาก ส่วนการนำมันฝรั่งมาทำเป็นอาหารเพื่อสุขภาพอย่างถูกวิธีนั้นก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำมาต้มให้สุกแล้วบด โรยเกลือและพริกไทยป่นเล็กน้อย (ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมก็ให้ใส่ส่วนผสมที่ได้ห้อในกระดาษฟรอยด์แล้วค่อยนำเข้าเตาอบ) หรือจะนำมาต้มให้สุกผสมในน้ำแกง เช่น ในเมนูหัวปลาต้มเผือก เป็นต้น หรือนำมาทำเป็นขนม เช่น บัวลอย เป็นต้น
  5. มันฝรั่งสามารถช่วยลดรอยคล้ำใต้ตาได้มันฝรั่งลดรอยคล้ำใต้ตาเพราะมันฝรั่งมีเอนไซม์ที่ทำให้สีผิวดูอ่อนและจางลงได้ จึงช่วยลดความหมองคล้ำลงได้ชั่วคราว วิธีนี้จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่ต้องการแก้ปัญหาตาคล้ำอย่างเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี วิธีการก็คือให้นำมันฝรั่งมาฝานบาง ๆ นำมาแปะดวงตาไว้ประมาณ 15-20 นาที (หากนำมันฝรั่งไปแช่เย็นก่อนนำมาใช้ก็จะยิ่งดี เพราะจะช่วยลดปัญหาตาบวมและทำให้ตาสดชื่นได้ด้วย) สำหรับผู้ที่มีอาการคันยุบยิบเล็กน้อย ก็ไม่ต้องเอามือไปเกานะครับ เพราะตามข้อมูลบอกไว้ว่าอาจรู้สึกคันยิบ ๆ เพียงเล็กน้อย แต่ไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด[6]
  6. มันฝรั่งก็ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้ ด้วยการใช้น้ำมันฝรั่งต้ม 4 ช้อนโต๊ะ และนม 140 มิลลิกรัม ขั้นตอนแรกให้นำมันฝรั่งมาต้ม แล้วกรองเอาน้ำต้มที่ได้มา 4 ช้อนโต๊ะ ใส่ลงไปในนมแล้วคนให้เข้ากัน เก็บใส่ขวดแล้วยำไปแช่เย็น เมื่อจะนำมาใช้ก็ให้เขย่าขวดก่อน แล้วนำมาทาหน้าด้วยการนวดเบา ๆเป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่แล้วจึงใช้ผ้าซับออก[7]
  7. มันฝรั่งกับการทำความสะอาดผิว ให้ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 2 ช้อนชา, สบู่ป่น 2 ช้อนชา, เนย 2 ช้อนชา, และน้ำมันอัลมอนด์ 8 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้นำสบู่และน้ำมันอัลมอนด์ใส่ถ้วย และอุ่นในน้ำร้อนจนผสมเข้ากัน จากนั้นใส่เนยลงไปคนและตามด้วยน้ำต้มมันฝรั่ง แล้วนำออกจากเตาและคนต่อไปอีกจนส่วนผสมเย็นตัวลง เสร็จแล้วเก็บไว้ในขวด เมื่อจะใช้ก็ให้นำครีมที่ได้มาใช้ทำความสะอาดใบหน้าเหมือนโลชั่น ด้วยการนวดคลึงใบหน้าเบา ๆ เป็นวงกลม ทิ้งไว้สักครู่ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น[7]
  8. มาส์กหน้ามันฝรั่งสูตรผิวกระชับผิวเต่งตึงมาส์กหน้ามันฝรั่งกระชับรูขุมขน และทำให้เลือดไหลเวียนดี ด้วยการใช้มันฝรั่งป่น 2 ช้อนโต๊ะ แล้วให้เทน้ำอุ่นลงในถ้วยที่ใส่มันฝรั่งป่นและคนเข้ากันจนเนื้อข้น ก่อนมาส์กหน้าให้ใช้ครีม หรือน้ำมันเบบี้ออยล์เล็กน้อยทาใบหน้าให้ทั่ว และให้ใช้พู่กันจุ่มมาส์กมันฝรั่งมาทาใบหน้าและคอ ยกเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที เมื่อครบแล้วให้ใช้ผ้าอุ่นประคบใบหน้าให้มาส์กอ่อนตัวก่อน แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น (สูตรนี้จะทำให้ผิวแห้ง จึงไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป)[7]
  9. มาส์กหน้ามันฝรั่งสูตรบำรุงผิวหน้า ให้ใช้น้ำต้มมันฝรั่ง 7 1/2 ช้อนโต๊ะ, ขี้ผึ้ง 3 3/4 ช้อนโต๊ะ, น้ำมันโจโจ้บา 1/4 ช้อนโต๊ะ, และบอแร็กซ์ 1/4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ใช้ความร้อนอ่อน ๆ ละลายขี้ผึ้งและน้ำมันให้เข้ากัน ใส่ผงบอแร็กซ์ตามลงไปในน้ำต้มมันฝรั่ง แล้วค่อย ๆ ใส่ส่วนผสมดังกล่าวลงไปคนกับขี้ผึ้งที่ละลายแล้ว เสร็จแล้วเอาขึ้นจากเตาและคนต่อไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมเย็นตัว แล้วนำมาทาใบหน้าด้วยการนวดเบา ๆ เป็นวงกลม เสร็จแล้วทิ้งไว้สักครู่ แล้วใช้ผ้าซับออก (สูตรนี้สามารถนำมาใช้ทามือ ทาผิว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวอ่อนนุ่มได้อีกด้วย)[7]
  10. โลชั่นมันฝรั่ง (สำหรับผิวมันและผิวธรรมดา) ให้ใช้น้ำคั้นจากมันฝรั่งดิบ 1 แก้ว และน้ำมะเขือเทศ 1 แก้ว ชั้นตอนแรกให้ไสมันฝรั่งและคั้นเอาแต่น้ำโดยใช้ผ้ากรองคั้นอีกครั้ง จากนั้นให้คั้นเอาแต่น้ำมะเขือเทศ นำมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใช้สำลีชุบโลชั่นที่ได้เช็ดหน้าเช้าเย็น ส่วนทีเหลือให้เก็บไว้ในตู้เย็น[7]
  11. มืออ่อนนุ่มด้วยมันฝรั่ง ให้ใช้มันฝรั่ง 2-3 ลูก และนมอุ่น 3-4 ช้อนโต๊ะ ขั้นตอนแรกให้ต้มมันฝรั่งให้สุก ปอดเปลือกและบดให้เละ แล้วใส่นมลงไปคนให้เข้ากัน เสร็จแล้วให้นำมาพอกมือให้หนา ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วค่อยล้างออก[7]

คุณค่าทางโภชนาการของมันฝรั่งดิบ ต่อ 100 กรัม

  • พลังงาน 77 กิโลแคลอรี่
  • คาร์โบไฮเดรต 17.47 กรัม
  • แป้ง 15.44 กรัม
  • ใยอาหาร 2.2 กรัม
  • ไขมัน 0.1 กรัม
  • โปรตีน 2 กรัม
  • น้ำ 75 กรัม
  • วิตามินบี1 0.08 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี2 0.03 มิลลิกรัม 3%
  • วิตามินบี3 1.05 มิลลิกรัม 7%
  • วิตามินบี5 0.296 มิลลิกรัม 6%
  • วิตามินบี6 0.295 มิลลิกรัม 23%
  • วิตามินบี9 16 ไมโครกรัม 4%
  • วิตามินซี 19.7 มิลลิกรัม 24%
  • วิตามินอี 0.01 มิลลิกรัม 0%
  • วิตามินเค 1.9 ไมโครกรัม 2%
  • แคลเซียม 12 มิลลิกรัม 1%
  • ธาตุเหล็ก 0.78 มิลลิกรัม 6%
  • แมกนีเซียม 23 มิลลิกรัม 6%
  • แมงกานีส 0.153 มิลลิกรัม 7%
  • ฟอสฟอรัส 57 มิลลิกรัม 8%
  • โพแทสเซียม 421 มิลลิกรัม 9%
  • โซเดียม 6 มิลลิกรัม 0%
  • สังกะสี (ซิงค์) 0.29 มิลลิกรัม 3%